ก่อนที่จะตอบคำถามข้างบน วันนี้เรามาทำความรู้จักกับโบท็อกซ์กันให้มากขึ้นกว่านี้อีกนิดนะคะ ซึ่งหมอเชื่อว่า ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักโบท็อกซ์ แต่วันนี้หมอจะมาลงรายละเอียดเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยของเจ้าโบท็อกซ์ ให้ทราบกัน


BOTOX หรือ สาร botulinum toxin A แท้จริงแล้วเป็นโปรตีน ที่สร้างมาจากแบคทีเรีย “ครอสตริเดียม โบทูลินั่ม” (Clostridium botulinum) กลไกการออกฤทธิ์คือ ไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท ผลก็คือทําให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตชั่วคราว
โดยช่วงแรกทางการแพทย์นำโบท็อกซ์มาใช้ในการรักษาภาวะผิดปกติในกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อตา ไม่ว่าจะเป็นอาการตาเหล่ ตาเข และ โรคไข้แหงน (dystonia) แต่ต่อมาก็พบว่าโบท็อกซ์ยังสามารถใช้รักษาริ้วรอยต่างๆได้อีกด้วย โดยในปี 2002 FDA ของอเมริกาได้มีการรับรองการใช้โบท็อกซ์ เพื่อลดริ้วรอยหน้าผาก และรอยตีนกา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการนำโบท็อกซ์มาใช้ในเรื่องของผิวพรรณและความสวยงามค่ะ


ในปัจจุบันเราก็จะเห็นว่าโบท็อกซ์มีประโยชน์กับวงการความงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลดริ้วรอย ลดขนาดปีกจมูก ลดขนาดกล้ามเนื้อต่างๆ ลิฟท์หน้า ลดเหงื่อ กระชับรูขุมขน โดยทั่วไปหลังจากฉีดโบท็อกซ์ไปแล้ว จะเริ่มเห็นผลที่ 1-2 สัปดาห์ (ริ้วรอย) 4 สัปดาห์ (กล้ามเนื้อมัดใหญ่) และผลลัพธ์คงอยู่ได้นาน 4-6 เดือนค่ะ

โดยประเด็นหลักๆที่เราจะมาพูดถึงวันนี้ คือ เรื่องริ้วรอยโดยเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่าริ้วรอยบนใบหน้าเรานั้นจะแบ่งเป็น 2 ประเภท
(1) ริ้วรอยที่เกิดจากการขยับหน้า หรือ Dynamic line
เช่น รอยตีนกา ริ้วหน้าผาก ร่องหว่างคิ้วจากการขมวดคิ้ว รอยบริเวณจมูกจากการย่นจมูก ซึ่งริ้วรอยพวกนี้เกิดจากการขยับของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เพราะฉะนั้นริ้วรอยประเภทนี้โบท็อกซ์สามารถรักษาได้ค่ะ


(2) ริ้วรอยที่อยู่เฉยๆก็เห็น หรือ Static line 
เช่น ร่องใต้ตา ร่องหว่างคิ้ว ร่องแก้ม ร่องน้ำหมาก โดยร่องประเภทนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยโบท็อกซ์ค่ะ (แต่จะแก้ไขได้ด้วยอะไรนั้นโปรดติดตามในบทความต่อๆไปนะคะ)

เห็นแล้วใช่ไหมคะ ว่าริ้วรอยประเภทไหนที่โบท็อกซ์สามารถจัดการได้ ริ้วรอยประเภทไหนที่เกินความสามารถของโบท็อกซ์ (โบท็อกซ์ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ)...

สุดท้ายหมอขอฝากอีกนิดนะคะ  การฉีดโบท็อกซ์ หรือทำหัตถการต่างๆ ควรทำด้วยแพทย์ที่มีความชำนาญ และยาที่ใช้ต้องเป็นยาของแท้ ที่ตรวจสอบได้นะคะ อย่าลืมว่า จะสวยกันทั้งที เราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วยนะคะ